กกต.เตือนเซลฟี่ในหน่วยเสียง ผิดกฎหมายระวังถูกจับ
Source - เว็บไซต์เดลินิวส์ (Th)

Friday, July 29, 2016  17:17
5808 XTHAI XPOL POL V%NETNEWS P%WDN

          เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม บรรยายเรื่องการออกเสียงประชามติ On the road to referendum ให้กับนักศึกษาหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง ที่สำนักงานกกต. ตอนหนึ่งระบุว่า ที่กกต.ไม่ได้มีการจัดส่งร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปทุกครัวเรือนผู้มีสิทธิออกเสียงทุกคน นอกจากเพราะกฎหมายกำหนดแล้ว ยังเป็นเพราะปัจจุบันมีช่องทางของโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ รวมทั้งกกต. ก็ได้มีการจัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญเป็นอักษรเบรลล์ เพื่อให้ความรู้กับผู้มีสิทธิออกเสียงเฉพาะกลุ่มที่เป็นผู้พิการทางสายตา มีการจัดพิมพ์ เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญในหนังสือพิมพ์ การใช้พลเมืองจิตอาสาลงไปเชิญชวน การร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการที่ให้นักเรียนเขียนจดหมายถึงพ่อเม่ให้ไปใช้สิทธิออกเสียงในวันที่ 7 ส.ค ถือว่า ช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงวันออกเสียงการณรงค์เชิญชวนดังกล่าวค่อนข้างได้รับการตอบสนองดีมาก จนทำให้มั่นใจว่าการออกเสียงประชามติครั้งนี้จะมีผู้ใช้สิทธิมากกว่าการออกเสียงประชามติเมื่อปี 50 ที่มีผู้มาใช้สิทธิร้อยละ 57 อย่างไรก็ตามกกต.ได้ตั้งเป้าหมายให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิครั้งนี้ไว้ที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ซึ่งก็จะพยายามรณรงค์เชิญชวนประชาชนไปให้สิทธิให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และอยากฝากเตือนไปยังผู้มีสิทธิออกเสียงระมัดระวังการเซลฟี่ที่เป็นที่นิยมของประชาชนในขณะนี้ภายในหน่วยออกเสียง เพราะถือว่าผิดกฎหมาย แต่สามารถบันทึกภาพนอกหน่วยออกเสียงได้
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการอบรมนายประวิช ยังได้เปิดให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็นซึ่งนักศึกษาก็ได้มีการสอบถามว่า กกต.มีความมั่นใจแค่ไหนว่าจะไม่มีการโกงประชามติเกิดขึ้น ซึ่งนายประวิช ก็ยืนยันว่า ทุกขั้นตอนทั้งการพิมพ์บัตร การตั้งกรรมการประจำหน่วย กกต.ยังยึดมาตรฐานเหมือนที่ได้ดำเนินการมาแล้ว รวมทั้งครั้งนี้เป็นการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การเลือกตั้งที่จะมีการแข่งขันกันของพรรคการเมือง ผู้สมัคร จึงเชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น
          ขณะที่น.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกกปปส. ก็ได้แสดงความคิดเห็นโดยระบุว่า ขณะนี้หนักใจมาก ไม่ได้หลับไม่นอน เพราะมีประชาชนโทรศัพท์มาถามอยู่ตลอดเวลาว่าควรจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะหัวหน้าพรรคก็บอกว่าไม่รับ แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกปปส. กลับบอกให้รับร่าง ต้องปิดเครื่องหนี ซึ่งตนสวมหมวกสองใบ เป็นทั้งสมาชิกพรรค และกปปส. จึงอยากให้คสช. ใช้มาตรา 44 ยกเลิกประชามติไปเลย เพราะไม่รู้จะเสียเงิน 3 พันล้านไปทำไม ประชามติแล้วได้ผลมาก็มีปัญหาอีกไม่จบ คสช.น่าจะใช้มาตรา 44 ยกเลิก แล้วใช้มาตรา 44 หาแนวคิดใหม่ที่ทำอย่างไรจะให้ประชาชนยอมรับได้ เช่นเชิญนักการเมืองเมื่อปี 54 มา แล้วตั้งคนจากหลายกลุ่ม ให้มาถกเถียงหาวิธีการกันให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
          อย่างไรก็ตามนายประวิช ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงการจัดเวทีถกเถียงความคิดเห็นร่างรัฐธรรมนูญในต่างจังหวัด ว่า ขณะนี้ไม่มีรายงานว่ามีการติดขัดปัญหาอะไร ซึ่งการจัดเวทีฯต้องดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 3 ส.ค. และเห็นว่า ขณะนี้สื่อหลายช่องทางเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของประชาชน ส่วนที่ฝ่ายการเมืองออกมาแสดงจุดยืนรับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็สามารถทำได้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล เพียงแต่ต้องระมัดระวังว่าต้องอยู่บนข้อเท็จจริง เพราะปัจจุบันมีสื่อออนไลน์ที่สามารถย้อนกลับมาดูได้ตลอด และเห็นว่าการแสดงความเห็นของฝ่ายการเมืองก็ไม่ได้มีผลต่อการออกมาใช้สิทธิของประชาชนให้มากขึ้นหรือน้อยลง เพราะประชาชนก็มีความตระหนักที่จะตัดสินใจได้เอง
          นายประวิช ยังกล่าวกรณีแกนนำพรรคเพื่อไทยระบุว่ามีการส่งข้อความชี้นำให้รับร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีเนื้อหาบิดเบือนทางโซเชียลมีเดีย ว่า ส่วนตัวยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้ แต่พ.ร.บ.ประชามติมีโทษทางอาญา ใครที่พบเห็นการกระทำผิดสามารถไปแจ้งความร้องทุกข์ได้ ซึ่งการแสดงความคิดเห็นสามารถทำได้แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ทั้งนี้อยากเตือนประชาชนที่จะไปใช้สิทธิออกเสียงว่า ในวันออกเสียง เมื่อรับบัตรออกเสียงและทำเครื่องหมายกากบาทในบัตรออกเสียงแล้ว อย่านำโทรศัพท์มือถือที่พกติดตัวเข้าไปถ่ายภาพการลงคะแนนของตนเอง หรือที่เรียก "เซลฟี่" รวมทั้งภาพภายในหน่วยเสียงเพราะเข้าข่ายผิดกฎหมาย รวมทั้งการออกเสียงครั้งนี้ใช้งบประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท ใช้บุคคลากรในการดำเนินการกว่า 1 ล้านคน จึงอยากให้ผู้มีสิทธิทุกคนออกมาใช้สิทธิ จะรับหรือไม่รับไม่เป็นปัญหา แต่การมาใช้สิทธิจะเป็นการยืนยันว่าเราต้องการให้ระบอบประชาธิปไตยยั่งยืนในบ้านเราต่อไปในอนาคต.

          ที่มา: http://www.dailynews.co.th