คอลัมน์: หุ้นส่วนประเทศไทย: ข้อเสนอแนะแผนการปฏิรูป 11 ด้าน และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)
Tuesday, April 10, 2018 03:24
28051 XTHAI XECON XOTHER XCLUSIVE DAS V%PAPERL P%PTD
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ
รองอธิบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการและคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ 11 ด้านที่เพิ่งประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. 2561 ว่า แม้ว่าคณะกรรมการปฏิรูปจะมีเป้าหมายและความปรารถนาดีต่อชาติ แต่เป็นยุทธศาสตร์และแผนปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน ยังขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและพรรคการเมืองต่างๆ ที่ต้องทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไปหลังการเลือกตั้ง ขาดความยืดหยุ่นและขาดการเปิดกว้างให้สามารถปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ไม่ได้กล่าวถึงการปฏิรูปกองทัพ เพื่อแก้ปัญหาวังวนของการทำรัฐประหารซ้ำซากในไทยไม่ได้มีข้อเสนอที่ชัดเจนเรื่องการปฏิรูประบบและกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ รวมทั้งความปรับเปลี่ยนให้อำนาจตุลาการยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น รวมทั้งการปฏิรูปความสัมพันธ์ทางอำนาจที่เหมาะสมระหว่างสถาบันการเมือง สถาบันศาสนา สถาบันกษัตริย์ และประชาชน ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ ยังขาดรายละเอียดของมาตรการส่งเสริมให้พรรคการเมืองมีความเป็นสถาบันและการเมืองภาคประชาชนมีความเข้มแข็งมากขึ้น
การเปิดกว้างให้มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนกัน จนเกิด "ฉันทามติ" ในสังคมจะส่งผลให้ยุทธศาสตร์และแผนปฏิรูปเกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ เพราะจะทำให้ทุกภาคส่วนร่วมกันผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย ตนได้เคยร่วมคิดในการวางแผนทำยุทธศาสตร์ระยะยาวของประเทศเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ก็ทำอยู่บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วม ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ ความชอบธรรมทางการเมือง ความเป็นธรรมของกฎระเบียบ ความเป็นนิติรัฐ เน้นประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทั้งหมดนี้เรียกว่าหลักธรรมาภิบาลในการกำหนดนโยบาย แผนปฏิรูปและแผนยุทธศาสตร์ของประเทศ เนื้อหาในแผนการปฏิรูป 11 ด้านระบุถึงการดำเนินการเรื่องการกระจายอำนาจ น้อยเกินไป
เป้าหมายหลักของการปฏิรูปต้องมุ่งไปที่การปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ หรือเพิ่มอำนาจให้กับประชาชนผู้ด้อยโอกาสทั้งหลาย ให้พวกเขามีสิทธิมีเสียงมากขึ้น แผนปฏิรูปของรัฐบาล ไม่ได้พูดถึงแนวทางการแก้ปัญหาความอยุติธรรม หรือการถูกเลือกปฏิบัติจากโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมมากเพียงพอ ซึ่งนำมาสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทั้งด้าน รายได้ ด้านสิทธิ ด้านโอกาส ด้านอำนาจ และด้านศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
แผนปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว ต่อไปจะต้องตอบโจทย์ปัญหากับดักเชิงโครงสร้างของไทยในอนาคตให้ได้ การเตรียมรับมือกับกับดักปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ระบบสถาบันต่างๆ และการเมือง รัฐบาล ภาคเอกชน ภาควิชาการ ขณะนี้ยังไม่มีทางออกหรือยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะแก้ไขปัญหากับดักเชิงโครงสร้างอย่างไรในระยะยาว เช่น ปัญหาจากโครงสร้างสังคม ผู้สูงอายุ ปัญหาจากเสถียรภาพระบบการเมืองในระยะเปลี่ยนผ่าน ปัญหาการศึกษาและคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ที่ทำให้ไม่สามารถสร้างนวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขันได้ โดยที่ระยะ 5-10 ปีข้างหน้าในมิติด้านเศรษฐกิจ ไทยจะสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันในหลายธุรกิจอุตสาหกรรม รวมทั้งภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น หากไม่มีการปรับเปลี่ยนปัจจัยที่กำหนดขีดความสามารถในการแข่งขันให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนทางด้านนวัตกรรม การลงทุนทางด้านการศึกษาและวิจัย ขณะที่ไทยมียอดการเกินดุลการค้าสูงมาก สะท้อนการลงทุนภาคเอกชนกระเตื้องขึ้นช้ามาก เอกชนไม่กล้าลงทุน ไม่สั่งนำเข้าสินค้าทุน วัตถุดิบ ไม่สั่งนำเข้าเครื่องจักร
มีความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจในระดับสูงติดอันดับโลก แรงงานระดับล่างและเกษตรกรรายย่อยมีความยากลำบากทางเศรษฐกิจ มีสัดส่วนของหนี้สิน ต่อรายได้สูงมาก มิติทางด้านการศึกษา เด็กกว่า 40% ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เด็กไทย 1 ใน 5 ของเด็กก่อนวัยเรียน มีพัฒนาการต่ำกว่าวัย 2/3 ของครอบครัวไทยไม่สามารถมีเงินส่งลูกเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ การปฏิรูปการศึกษาที่ล้มเหลวในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เกิดต้นทุน ค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10-11% ของจีดีพี (ตัวเลขจาก Thailand Future Analysis จากผลการศึกษาของ Hanushek and Woessman 2010) กับดักโครงสร้างทางการเมืองในรัฐธรรมนูญใหม่ที่อาจก่อให้เกิดวิกฤตการณ์การเมืองรอบใหม่ได้ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ เสนอแนะว่ายุทธศาสตร์ 6 ประการของแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว 20 ปี (บรรลุเป้าหมายและสิ้นสุดปี พ.ศ. 2579) ที่จัดทำโดยสภาพัฒน์ แต่ส่วนใหญ่เป็นยุทธศาสตร์พื้นฐาน ไม่มีอะไรแปลกใหม่ อาจไม่สามารถตอบสนองต่อพลวัตของเทคโนโลยีใหม่ที่พลิกผันระบบเศรษฐกิจ ระบบการผลิต ระบบการเงิน และระบบการเมืองได้ดีนัก รวมทั้งยังติดกรอบคิดแบบราชการและอนุรักษนิยม รวมทั้งอาจไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหาในระดับโครงสร้างและฐานรากอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม เห็นว่าควรมีมากกว่า 6 ยุทธศาสตร์ โดยยุทธศาสตร์ 15 ปี (ปี 2561-2575) ที่ผมเคยเสนอไว้เมื่อทำหน้าที่กรรมการและผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2549 หรือเมื่อเกือบ 12 ปีมาแล้ว มีทั้งหมด 10 ยุทธศาสตร์ ดังต่อไปนี้ 1.ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างอำนาจและส่งเสริมประชาธิปไตยให้เข้มแข็งมั่นคง 2.ยุทธศาสตร์การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน เอา "คุณภาพชีวิตของพลเมือง" เป็นศูนย์กลาง 3.ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงและรวมแผนยุทธศาสตร์ทางด้านวัฒนธรรมและภาษาด้วย รวมทั้งการสร้างพลังเครือข่ายสยามและเชื้อชาติไทยอีกด้วย
4.ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและ เครือข่ายความร่วมมือ ลดอำนาจการผูกขาด สร้างความเป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ เพิ่มการแข่งขัน เสรีภาพในการประกอบการ 5.ยุทธศาสตร์ด้านลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม 6.ยุทธศาสตร์พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัยและการปรับโครงสร้างประชากรให้เหมาะสม 7.ยุทธศาสตร์การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมือง 8.ยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาคการเมือง 9.ยุทธศาสตร์ศูนย์กลางอาหาร การท่องเที่ยวและบริการทางการแพทย์ของโลกและอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10.ยุทธศาสตร์บูรณาการสู่การเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
ส่วนแผนการปฏิรูปทั้ง 11 ด้านนั้น จะต้องมีการกระจายอำนาจสู่ประชาชนและสังคมอย่างแท้จริงเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถมีส่วนสำคัญในการจัดการการศึกษา ทรัพยากรของชุมชน ตลอดจนการพัฒนาองค์กรประชาชนให้เป็นฐานสำคัญของการพัฒนา การกระจาย อำนาจตามความหมายนี้ก็คือ การเพิ่มอำนาจประชาชนและลดอำนาจรัฐนั่นเอง ปรับเปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณเสียใหม่ให้ลงสู่พื้นที่และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนในการกำหนดเป้าหมายด้านคุณภาพชีวิต เพื่อให้ ทุกคนมีหลักประกันในชีวิต เกิด สันติธรรมและความสงบสุข อยู่ใน สิ่งแวดล้อมที่ดี--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์