โคงสุดท้ายปฏิรูปตำรวจ เดิมพันสำคัญ คสช.
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

Thursday, May 10, 2018  02:47
41876 XTHAI XECON XOTHER XCOMMENT DAS V%PAPERL P%PTD

          ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
          เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญกับกระบวนการปฏิรูปตำรวจ ในวันที่หน้าที่สำคัญถูกถ่ายโอนมาอยู่ในมือ  คณะกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นประธาน ท่ามกลางความคาดหวังจะสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จลุล่วงตามที่ ทุกฝ่ายคาดหวัง
          หลังจาก 4 ปีที่ผ่านมาความพยายามของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกลับยังเดินหน้าไปไม่ถึงไหน
          ทั้งที่เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นใหญ่ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จัดลำดับความสำคัญไว้เป็นงานแรกๆ ตามเสียงสะท้อนที่เห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่ายในสังคม ซึ่งต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในแวดวงสีกากี อันเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรมและเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตของประชาชน
          หากจำได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เคยสั่งการด้วยลายลักษณ์อักษร 13 หน้ากระดาษ ให้คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจดำเนินการ แบ่งเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ 1.การปฏิรูปองค์กร ที่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ไปขึ้นอยู่กับกระทรวงใด 2.กระบวนการยุติธรรม กฎหมาย ต้องไปดูกฎหมายที่ตำรวจใช้ในการทำงาน เรื่องการสอบสวน พิสูจน์หลักฐานที่มีปัญหาอยู่เดิม และ 3.เป็นเรื่องของบุคลากรที่จะดูแลตำรวจชั้นผู้น้อยอย่างไรให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสูง ให้เกิดความเป็นธรรมเท่าเทียม ดูแลในเรื่องของงบประมาณใช้จ่ายต่างๆ ถ้าจัด งบประมาณให้เหมาะสม ตำรวจก็ไม่ได้หาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง
          แต่ในทางปฏิบัติเรื่องปฏิรูปตำรวจไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด โดยเฉพาะ กับการเข้าไปปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ตลอดจนอำนาจหน้าที่ในองค์กรที่มีความแข็งแรง และยังเชื่อมโยงกับ ขั้วอำนาจทางการเมือง
          การคิดจะเข้าไปปรับเปลี่ยนใดๆ ย่อมเกิดแรงต่อต้านไม่ยอมรับจาก บรรดาบิ๊กสีกากี ซึ่งไม่ต้องการให้อำนาจในมือต้องได้รับผลกระทบไปกับการปฏิรูป ที่สำคัญ บรรดากลไกที่ แต่งตั้งมารับหน้าที่ปฏิรูป จะเข้าไปปฏิรูปล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับทาง บิ๊กตำรวจจนเกิดการเกรงอกเกรงใจ ไม่กล้าปรับเปลี่ยนอะไรมากมาย
          กลไกสำคัญ รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้มีคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาดำเนินการรให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้          (6 เม.ย. 2560) พร้อมระบุว่าเมื่อครบกำหนดเวลา ถ้าการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จให้การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ตำรวจดำเนินการตามหลักอาวุโส
          ภายหลังการดำเนินการครบ 1 ปี พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปชุดนี้ แถลงสรุปผลการปฏิรูปตำรวจว่า เรื่องหลักคือการแต่งตั้ง ซึ่งจะเป็นประเด็นสำคัญไปสู่การแก้ไขปัญหาการซื้อขายตำแหน่ง ตลอดจนการเข้ามาแทรกแซงครอบงำจากฝ่ายการเมือง
          ข้อสรุปคือ ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) โดยให้ ผบ.ตร.เป็นผู้เสนอชื่อผู้ที่เหมาะสม  1-3 รายชื่อให้ ก.ตร. พิจารณาโดย องค์ประกอบ ก.ตร.เปลี่ยนแปลงจากเดิมมี ผบ.ตร.เป็นประธาน แล้ว ก.ตร.จะคัดเลือกจากรายชื่อที่ ผบ.ตร.เสนอออกมาเพียงคนเดียว แล้ว ผบ.ตร.จะเสนอคนที่เหมาะเป็น ผบ.ตร.คนต่อไป             ให้นายกรัฐมนตรีเห็นชอบ
          ขณะที่ ก.ต.ช.ยังมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แต่ไม่มีบทบาทในการ แต่งตั้งโยกย้าย องค์ประกอบปรับปรุงใหม่ ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายให้กระจายอำนาจการแต่งตั้งไปยังกองบัญชาการต่างๆ อาทิ บช.1-9 บช.น. ตชด. ฯลฯ ที่เหลือเป็นอำนาจ ผบ.ตร.
          จนมาถึงขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ ที่ดูจะเป็นเนื้อเป็นหนังกว่าทุกชุด เริ่มตั้งแต่การกำหนดภารกิจตำรวจเป็น 4 แท่งภารกิจ คือ 1.งานสอบสวนทำสำนวนคดี 2.งานป้องกันปราบปรามการทุจริต 3.งานเทคนิควิชาการ และ 4.งานบริหารและ อำนวยการ
          แถมมีแนวคิดรื้อโครงสร้างโดยการเห็นควรให้ยุบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.)           และโอนภารกิจไปให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) โดยให้ ก.ตร.ทำหน้าที่กำกับนโยบาย และวางหลักเกณฑ์กติกาและกำกับการแต่งตั้ง        โยกย้ายเลื่อนขั้นเงินเดือนตำรวจที่ชัดเจน ใช้หลักอาวุโส 50% ผลงาน 30% และความพึงพอใจของประชาชน 20% โดย ก.ตร.จะพิจารณาเลือก ผบ.ตร.เองตำแหน่งเดียว
          พร้อมเพิ่มคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ (ก.พ.ค. ตร.) ขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่วินิจฉัยอุทธรณ์และเรื่องร้องทุกข์  เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายผิด หลักเกณฑ์แก่บรรดาข้าราชการตำรวจ หากผู้ร้องไม่พอใจคำวินิจฉัย สามารถใช้สิทธิฟ้องศาลปกครองสูงสุดได้ต่อไป
          ที่สำคัญยังเตรียมโยกหน่วยงาน ทั้งด้านอำนวยความสะดวกด้านการจราจร งานกวดขันวินัยจราจร งานบังคับใช้กฎหมายจราจร เฉพาะความผิดฐานจอดรถโดยฝ่าฝืนกฎหมาย  ไปยังหน่วยงานท้องถิ่น ภายใต้กรอบเวลา 2 ปี ส่วนตำรวจรถไฟให้โอนภารกิจไปยังการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หรือหน่วยงานอื่นที่เป็นเจ้าของรถไฟ
          จากนี้จึงต้องจับตารอดูกฎหมาย ที่จะออกมาว่ามีเนื้อหารายละเอียดอย่างไร ยังไม่รวมกับการต้องรอดูว่าเนื้อหาเหล่านี้จะถูกปรับแก้ไข ในชั้น ครม.และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะแรงกดดันจากบรรดาบิ๊กตำรวจ ที่สามารถต่อสายตรง ถึงบิ๊ก คสช. และยังอาจเข้ามามีอิทธิพลต่อการพิจารณาของ สนช.
          เส้นทางปฏิรูปตำรวจนับจากนี้ จึงเปราะบางและไม่รู้ว่านี่จะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของ คสช.ได้อย่างที่ตั้งใจหรือไม่

          บรรยายใต้ภาพ 
          พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์
          มีชัย ฤชุพันธุ์--จบ--

          ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์