สภาทนายฯตั้งทีมงานช่วยน้องบีม
Source - เดลินิวส์ (Th)

Wednesday, July 05, 2017  05:29
46214 XTHAI XOTHER XFRONT MIDD DAS V%PAPERL P%DND

          "แม่น้องบีม" หลั่งน้ำตา ย้อนถาม "มาหลอกกันทำไม" หลังพาลูกสาวพบสภาทนายความ เซ็นเอกสารตั้งทนายฟ้อง "หมอความ" แสบ สภาทนายฯ ยัน เร่งฟ้องแพ่งด่วนสุด ๆ ย้ำ "ทนายพิสิษฐ์" ไม่ใช่ทนายอาสา ให้เวลา  15 วันมาแก้ต่าง ฟันวินัยถึงขั้นลบชื่อออก ด้านสภาฯ มอบเงินช่วยเหลือ 4.5 หมื่น ขณะที่สาวใหญ่วัย 54 ปี เหยื่อรายที่ 2 ของทนายแสบ โร่แจ้งความถูกฉ้อโกง-ยักยอกทรัพย์
          จากกรณี น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ อายุ 44 ปี มารดา ด.ญ.ภัทรดา หรือน้องบีม แก้วผ่อง บุตรสาว อายุ 14 ปี ถูกนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความอาสาที่ทำทียื่นมือเข้ามาช่วยเป็นธุระเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทคู่กรณีของน้องบีมหลังเกิดอุบัติเหตุรถชนจนทำให้น้องบีมพิการ แต่กลับเชิดเงินเกือบ 5 ล้านบาท ไป น.ส.พรทิพย์ ต้องพาลูกสาวไปร้องเรียนหน่วยงานต่าง ๆ จนมีหลายฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ตามที่ "เดลินิวส์" เสนอไปแล้วนั้น
          ความคืบหน้า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ก.ค.นี้ที่สภาทนายความ ถนนพหลโยธิน ว่าที่ร้อยตรี ดร.ถวัลย์ รุยาพร นายกสภาทนายความ นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา เลขาธิการสภาทนายความ นายเสาวภักดิ์ สกุลโรมวิลาศ อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ว่าที่ พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง อุปนายกสภาทนายความฝ่ายบริหาร และ น.ส.เสาวรียา ไชยยังธัญทวี กรรมการฝ่ายช่วยเหลือฯ ร่วมกันแถลงข่าวโดยมี น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ และ ด.ญ.ภัทรดา แก้วผ่อง หรือน้องบีม ผู้เสียหายเดินทางมายื่นคำร้องขอรับการช่วยเหลือจากสภาทนายความพร้อมเซ็นเอกสารแต่งตั้งทนายความดำเนินคดี หลังจากถูกนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความ ยักยอกเงินไป
          ว่าที่ร้อยตรี ดร.ถวัลย์ กล่าวว่า การดำเนินการสอบสวนใช้เวลาพอสมควร แต่จะทำให้เร็วที่สุดในส่วนการช่วยเหลือจะดำเนินการอย่างเต็มที่ให้ได้รับความเป็นธรรมฝากถึงนายพิสิษฐ์ให้มาพบเจ้าหน้าที่ หรือมาที่สภาทนายความเพื่อชี้แจง จะได้มีข้อยุติและช่วยเหลือผู้เสียหายและฝากถึงประชาชนในการเซ็นเอกสารต่าง ๆ แม้จะเป็นทนายความก็ต้องตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนพร้อมถ่ายสำเนาเอกสารเก็บไว้เป็นหลักฐาน
          นายสรัลชากล่าวถึงการดำเนินการทางวินัยนายพิสิษฐ์ว่าเป็นไปตามข้อบังคับมรรยาท สภาทนายความมีหนังสือถึงประธานมรรยาทเพื่อให้คณะกรรมการมรรยาทดำเนินการสอบสวนแล้วซึ่งจะนัดประชุมเพื่อพิจารณาลงโทษต่อไป คดีเช่นนี้มีตัวอย่างที่ผ่านมาใช้บทลงโทษสูงสุดคือการลบชื่อออกจากการเป็นทนายความ ฐาน "ตระบัดสิน" ลูกความ "ทนายความทั่วประเทศกว่า 8 หมื่นคน ย่อมมีคนไม่ดีปะปนบ้างแต่ในปีหนึ่งสภาทนายความกำจัดคนไม่ดีออกไปได้หลายคน สำหรับประชาชนหากสงสัยทนายความคนใดขอตรวจสอบประวัติได้ และขอให้ประชาชนต้องอ่านเอกสารต่าง ๆ ให้ละเอียดรอบคอบก่อนจะเซ็นชื่อ รวมถึงการเขียนเช็ค ต้องจ่ายชื่อผู้เสียหายไม่ใช่ชื่อทนายความ"
          เมื่อถามถึงกระบวนการในการสอบสวนนายสรัลชา กล่าวว่า นายพิสิษฐ์จะต้องยื่นแก้ข้อกล่าวหาเข้ามาภายใน 15 วัน หากไม่ยื่นเข้ามาจะสอบสวนเฉพาะผู้กล่าวหาซึ่งสามารถตัดสินได้แม้ผู้ถูกกล่าวหาไม่มา เป็นไปตามกฎหมาย หากยื่นแก้ข้อกล่าวหามาอาจใช้เวลาสอบสวนนานเป็นเดือนแต่หากสอบสวนฝ่ายเดียวใช้เวลาไม่นาน ส่วนการลบชื่อนั้นแม้ลบไปแล้ว 5 ปี จะมีสิทธิในการขอใหม่ได้ แต่ต้องตั้งกรรมการสอบถ้าประวัติไม่ดีกรรมการไม่อนุมัติให้อยู่แล้ว
          ด้านนายเสาวภักดิ์กล่าวถึงการดำเนินคดีทางแพ่งกับนายพิสิษฐ์ว่า สภาทนายความจะแต่งตั้งทนายความร่วมกับเนติบัณฑิตยสภาว่าคดีความ ซึ่งสามารถฟ้องได้ทันที ส่วนคดีอาญานั้นหลังจากอัยการยื่นฟ้องแล้วจะยื่นคำร้องให้ผู้เสียหายเข้าไปเป็นโจทก์ร่วมพร้อมทั้งแต่งตั้งทนายความเข้าไปช่วยเหลือทางคดีด้วย ขณะที่ น.ส.เสาวรียา ชี้แจงว่านายพิสิษฐ์ไม่ใช่ทนายความอาสา เพราะทนายความอาสาต้องได้รับการแต่งตั้งต้องลงชื่อติดต่อมาที่สภาทนายความโดยตรง ซึ่งจัดไว้ 16 คนต่อวันเหมือนนายประกันของศาล ต้องลงทะเบียนและคุยกับทนายความอาสาตามที่ลงทะเบียนไว้นอกจากนี้ทางสภาทนายความยังได้รวบรวมเงินช่วยเหลือ น.ส.พรทิพย์ และน้องบีมแล้ว 40,000 บาท
          ว่าที่ พ.ต.สมบัติ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้ทนายความร่างคำฟ้องคดีแพ่งแล้วโดยสภาทนายความและเนติบัณฑิตยสภาร่วมกัน ตั้งใจจะยื่นฟ้องคดีให้เร็วที่สุดและขอชี้แจงว่า ทนายความอาสาจะไม่เดินทางไปหาตัวคู่ความแต่ต้องมาพบที่สภาทนายความหรือเนติบัณฑิตยสภา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เว้นแต่ค่าธรรมเนียมศาล สำหรับคดีนี้เข้าเงื่อนไขว่าโจทก์ผู้เสียหายเป็นผู้ยากไร้และไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถใช้ทนายความอาสาได้และยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลได้ หากศาลยกเว้นค่าธรรมเนียมให้ก็ไม่ต้องจ่าย หรือหากยกเว้นไม่ได้ ทางกระทรวงยุติธรรมจะดำเนินการจ่ายให้
          ด้านน.ส.พรทิพย์ แม่ผู้เสียหาย กล่าวทั้งน้ำตาว่า เราร้องทุกข์ในเรื่องนี้มานาน มากจนตอนแรกคิดจะทิ้งคดีแล้วแต่พอมีสื่อมวลชนเข้ามาช่วยเหลือจนถึงวันนี้รู้สึกดีใจมาก ปลอบใจตัวเองมาตลอดว่า น่าจะได้เงินคืนเพราะหวังมาทั้งชีวิตเพื่อใช้ในการดูแลรักษาลูก "อยากจะฝากถามไปยังนายพิสิษฐ์ว่า มาหลอกกันทำไม อยากให้เอาเงินคืนมาทุกวันนี้ดูแลลูกเหนื่อยมาก ต่อสู้มานาน ต้องอุ้มลูกตั้งแต่ตัวเล็ก จนตอนนี้อุ้มไม่ไหวแล้วขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยเหลือทำให้แม่ยิ้มออกได้เราร้องเรียนมาตั้งแต่ลูกยังตัวเล็ก ถ้าใครเป็นแม่ก็คงเข้าใจความเป็นแม่" ทั้งนี้ ภายหลังการแถลงข่าวว่าที่ร้อยตรี ดร.ถวัลย์ยังมอบเงินส่วนตัว 5,000 บาท ช่วยเหลือ น.ส.พรทิพย์และน้องบีมอีก รวมเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 45,000 บาท พร้อมทั้งนำเอกสารคำร้องและแต่งตั้งทนายความขึ้นมาให้ น.ส.พรทิพย์ เซ็นต่อหน้าสื่อมวลชนด้วย
          ช่วงสายวันเดียวกัน น.ส.นิษฐาณัฐ หรือแม่นิด ภัทรธนินนิษฐ์ อายุ 54 ปี ผู้เสียหายรายที่ 2 ที่ถูกนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความ หลอกยืมเงินไปเกือบ 1.4 ล้านบาท ได้หอบเอกสารหลักฐานที่นายพิสิษฐ์กู้ยืมเงินไปแล้วไม่ใช้คืนเข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ชาตรี สีจันทร์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายพิสิษฐ์ในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ยักยอกทรัพย์ โดยทาง พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ เที่ยงกมล ผกก.ได้ตรวจสอบเอกสารสำเนาที่ น.ส.นิษฐาณัฐ นำมาแจ้งความกับตำรวจพร้อมสั่งการให้ร้อยเวรลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า คดีนี้ตำรวจจะตรวจสอบเอกสารที่ผู้เสียหายนำมามอบให้ว่าเป็นการฉ้อโกงหรือไม่ ขอสอบพยานให้ชัดเจนก่อนว่ามีอะไรเป็นเรื่องปกปิดความจริงหรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จให้เจ้าทรัพย์ส่งมอบทรัพย์ไปให้หรือเปล่า เบื้องต้นมีสัญญาเงินกู้ฉบับเดียวรวมยอดล้าน กว่าบาท
          ที่สำนักงานสภาทนายความภาค 8 จ.นครศรีธรรมราช นายลือชา เปี่ยมสุวรรณ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารสภาทนายความภาค 8 แถลงข้อเท็จจริงในคดีนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ อ้างเป็นทนายความและเกิดกรณีฉ้อโกงเงินค่าเสียหาย 5 ล้านบาทซึ่งประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และการนำเสนอในทำนองว่า "ทนายแสบ" ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของทนายความโดยรวมมีความเสื่อมเสียซึ่งข้อเท็จจริงสภาทนายความภาค 8 มีทนายปฏิบัติงานอยู่ถึงกว่า 2 หมื่นคน นายลือชา กล่าวว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนี้มีการทำคดี 2 ส่วนคือคดีอาญา มีนายวันรัฐ นาคสุวรรณ เป็นผู้ว่าความ และคดีแพ่งคือนายสุชญา ขำเกิด เป็นผู้ว่าความ คดีทั้งสองแล้วเสร็จสมบูรณ์โดยคดีแพ่งศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าสินไหมวงเงิน 4.7 ล้านบาทตามคำฟ้องของโจทก์
          แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือทนายทั้งสองไม่ได้ค่าตอบแทนจากการว่าความมาปรากฏอีกครั้งกลับมีนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ เข้ามาเป็นทนายความและไม่ได้เป็นผู้ว่าความมาตั้งแต่ต้นและปรากฏไปมีหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความกันขึ้นโดยมีผู้ที่ให้สัญญาในหนังสือฉบับนี้คือ น.ส.ภัทรวดี สวัสดี เป็นผู้รับผิดชอบการชดใช้ในคดีแพ่งซึ่งไม่ทราบว่าเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจมาจากจำเลยจริงหรือไม่ และทราบว่านายพิสิษฐ์ต้องคดีเป็นบุคคลล้มละลาย จึงไม่แน่ใจในสถานะของการเป็นทนายความอยู่หรือไม่ ดังนั้นสภาทนายความภาค 8 จึงต้องนำข้อเท็จจริงนี้ มาเปิดเผยเพื่อปกป้องวิชาชีพทนายความที่ มีผู้ปฏิบัติงานอยู่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นจำนวนมาก แต่บุคคลคนเดียวมาสร้างความเสื่อมเสีย.

          บรรยายใต้ภาพ
          ช่วยเต็มที่...          ว่าที่ ร.ต.ดร.ถวัลย์ รุยาพร นายกสภาทนาย ความ และทีมงาน มอบเงินช่วยเหลือ น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ และน้องบีม ด.ญ.ภัทรดา บุตรสาวที่ถูกทนายโกงค่าสินไหม 5 ล้านบาท ที่สภาทนายความ พร้อมสั่งตั้งคณะทำงานเพื่อเร่งช่วยเหลือด้านกฎหมายอย่างเต็มที่
--จบ--

          --เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 6 ก.ค. 2560 (กรอบบ่าย)--