วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 เวลา 09.00 นาฬิกา ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล คณะยุวชนประชาธิปไตย ประจำปี 2566 เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมี นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นางสาวโสมอุษา บูรณะเหตุ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และนางฑิฆัมพร กาญจโนภาศ ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์ เข้าเยี่ยมคารวะด้วย
นายกรัฐมนตรีได้ให้โอวาทแก่ยุวชนประชาธิปไตยฯ ใจความว่า รู้สึกเป็นเกียรติ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสต้อนรับคณะยุวชนประชาธิปไตย ประจำปี 2566 ที่เข้ามาศึกษาดูงานทำเนียบรัฐบาล ซึ่งทำเนียบรัฐบาลเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตย อันได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ซึ่งในวันนี้ยุวชนประชาธิปไตยจะได้เรียนรู้ถึงบทบาท หน้าที่ และอำนาจของฝ่ายบริหาร
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่ออีกว่า ในขณะนี้ทุกคนจะเห็นได้ว่าสภาพภูมิอากาศร้อนขึ้นทุกปีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศโดยในต่างประเทศจะมีอากาศที่ร้อนมากกว่าประเทศไทย นั่นก็คือความแตกต่างทางด้านสภาพภูมิอากาศ นอกจากความแตกต่างทางด้านสภาพภูมิอากาศแล้วในแต่ละประเทศยังมีความแตกต่างทางด้านครอบครัว สังคม และความเป็นอยู่ที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ทุกคนจะต้องมีเหมือนกันก็คือ ความเป็นประชาธิปไตย คือ ต้องรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง โดยไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่นและอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ หากเราทำอะไรให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็ถือว่าไม่ปฏิบัติตนตามรัฐธรรมนูญ ทุกคนในสังคมจะต้องมีความเท่าเทียมกันภายใต้รัฐธรรมนูญเดียวกันและทุกคนจะต้องมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน ซึ่งรัฐบาลได้ให้โอกาสกับทุกคนได้เข้าถึงประโยชน์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการคมนาคม การใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงการลงทุนร่วมกับต่างประเทศ ซึ่งในด้านการลงทุนกับต่างประเทศทุกอย่างต้องมีกฏกติการ่วมกัน รัฐบาลต้องหาวิธีที่เหมาะสมเพื่อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อให้มีรายได้และลดค่าใช้จ่ายของประเทศ ในด้านต้นทุนของการผลิตประเทศไทยค่อนข้างมีต้นทุนสูงโดยในปีนี้มีการส่งออกสินค้าเป็นอันดับที่ 2 รองจากประเทศอินเดีย ซึ่งรัฐบาลก็จะต้องเข้ามาดูแลและช่วยเหลือในด้านต้นทุนผลผลิตซึ่งทำให้เรามีหนี้สาธารณะเพิ่มมากขึ้น และในช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมารัฐบาลต้องนำเงินมาดูแลประชาชนทำให้เรามีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามในขณะนี้รัฐบาลได้มีนโยบายต่าง ๆ ที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น
นายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกด้วยว่า ประเทศชาติจำเป็นต้องมีที่ยึดเหนี่ยวเพื่อให้ดำรงความเป็นชาติ ซึ่งสิ่งที่สำคัญและเป็นที่ยึดเหนี่ยวก็คือ ครอบครัว ดังนั้นจึงขอให้ทุกคนดำรงความเป็นครอบครัวไว้โดยขอให้นึกถึงพ่อแม่และครอบครัวเป็นสำคัญ สังคมไทยมีความแตกต่างจากสังคมต่างประเทศในด้านการดูแลตัวเองของเยาวชน ดังนั้นเราไม่ควรเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น แต่ควรจะต้องช่วยกันทำให้สังคมไทยเกิดความเท่าเทียมกัน รวมถึงต้องได้รับการพัฒนาในเรื่องของความเหลื่อมล้ำในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานเพื่อประสิทธิผลที่ดีขึ้นของประเทศไทย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ว่าจะต้องลดการเผาป่า และช่วยกันปลูกต้นไม้ให้เพิ่มขึ้น ในส่วนของรัฐบาลเองก็พยายามหาทางแก้ไขปัญหา เช่น การเร่งการใช้รถไฟฟ้า ซึ่งมีเป้าหมายว่าในปี 2030 จะต้องมีการใช้รถไฟฟ้าให้ได้ 30% ดูแลปัญหาฝุ่นที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมและเครื่องยนต์เก่า การใช้พลังงานทดแทน เป็นต้น
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้ขอให้ยุวชนประชาธิปไตยทุกคนทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในยุคนี้เป็นยุคของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล จึงขอฝากให้ทุกคนใช้เทคโนโลยีในทางที่ถูกต้องเพื่อช่วยให้ประเทศไทยของเราพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่เห็นความสำคัญของเยาวชนโดยการจัดกิจกรรมนี้ขึ้น โดยเฉพาะการนำคณะยุวชนประชาธิปไตย เข้าศึกษาดูงานทำเนียบรัฐบาล จึงขอให้เยาวชนทุกคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทยต่อไป
จากนั้นนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และนางสาวโสมอุษา บูรณะเหตุ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกับยุวชนประชาธิปไตย ประจำปี 2566
ในเวลา 10.00 น. คณะยุวชนประชาธิปไตย ประจำปี 2566 ได้รับฟังการบรรยายเรื่อง บทบาท หน้าที่ และอำนาจของฝ่ายบริหาร โดยมี นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้แก่คณะฯ
สำหรับกิจกรรมยุวชนประชาธิปไตยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเสริมสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนเพื่อให้ยุวชนประชาธิปไตยนำความรู้ไปขยายผลสร้างเครือข่ายประชาธิปไตยในโรงเรียนและชุมชน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 เมษายน ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 โดยมีเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมจากทุกจังหวัดทุกภูมิภาค รวมจำนวนทั้งสิ้น 160 คน |