|
|
ห้องข่าว >> ภาพข่าว >> ภาพข่าวสภาผู้แทนราษฎร |
โฆษกคณะ กมธ. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ แถลงข่าวเกี่ยวกับผลการประชุมของคณะ กมธ.
๏ฟฝัน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ 9 ๏ฟฝ.๏ฟฝ. 2564
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 เวลา 12.15 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายธีรัจชัย พันธุมาศ โฆษกคณะ กมธ. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ แถลงข่าวเกี่ยวกับผลการประชุมของคณะ กมธ. เพื่อพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือนายบอส ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กล่ำประเสริฐ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 55 จนนำมาสู่การตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและสอบวินัย และได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้วเมื่อเดือน ก.พ. 64 โดยคณะ กมธ. ได้ติดตามการดำเนินคดีกรณีดังกล่าวทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัยของส่วนราชการ รวมทั้งความจริงใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาวิกฤตศรัทธากระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น คณะ กมธ. ได้เชิญ พล.ต.อ.ชนสิษฐ์ วัฒนวรางกูร และพล.ต.อ.จารุวัฒน์ ไวศยะ มาชี้แจงการดำเนินการของคณะกรรมการพิจารณาและเสนอความเห็น กรณีสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาแล้ว 2 ครั้ง หลังจากที่ปรากฏเป็นข่าวว่าอาจมีการไม่นำคลิปเสียงการประชุมเรื่องการเปลี่ยนความเร็วมาพิจารณา โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ยืนยันกับคณะ กมธ. ว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยล่าสุดปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 64 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง และผู้ช่วยเลขานุการเพิ่มเติม โดยมีหลักฐานพบว่ามีการร่วมมืออย่างเป็นระบบของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมที่มีการเปลี่ยนความเร็วรถจนทำให้ผู้ต้องหารอดพ้นจากการดำเนินคดีตามกฎหมายและมีข้าราชการตำรวจกระทำผิดวินัยหรือสงสัยว่ากระทำผิดวินัยด้วย ทั้งนี้ คณะ กมธ. จะติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และเมื่อมีการประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้วจะเชิญคณะกรรมการดังกล่าวมาสอบถามเพื่อติดตามข้อเท็จจริง เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือของอัยการและกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก การพิจารณาจึงควรเป็นไปด้วยความละเอียดรอบคอบ และสามารถตอบคำถามของสังคมได้ โดยหากคณะ กมธ. พบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายทุจริตประพฤติมิชอบจะดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้ยื่นหนังสือต่อคณะ กมธ. เพื่อขอให้ตรวจสอบนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง เกี่ยวกับการวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ และการออกเสียงลงคะแนน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 1 ครั้งที่ 32 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันศุกร์ที่ 28 ก.พ. 63 ระเบียบวาระเรื่องด่วน ลงมติญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
โดยคณะ กมธ. พิจารณาแล้วเห็นว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎรและผู้ทำหน้าที่แทนประธานสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ที่จะต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรจะต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ต่อเมื่อทำหน้าที่แทนประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อประธานสภาผู้แทนราษฎรได้มอบหมาย หรือไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้อยู่ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานการประชุมด้วยตนเองตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งปิดการประชุม และไม่ได้มอบหมายให้ นายศุภชัย โพธิ์สุ ปฏิบัติการใดแทน ดังนั้น นายศุภชัย โพธิ์สุ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับที่จะต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมได้บัญญัติไว้ สำหรับเรื่องการออกเสียงลงคะแนนนั้น ตามรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น เป็นผู้ที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนและจะกระทำแทนกันมิได้ บุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หามีสิทธิดังกล่าว การออกเสียงลงคะแนนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงเป็นสิทธิเฉพาะตัวและเป็นเอกสิทธิ์เด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใด ๆ มิได้ นายศุภชัย โพธิ์สุ เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง และยังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย จึงเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน อันเป็นสิทธิเฉพาะตัวซึ่งผู้ใดจะกระทำแทนไม่ได้ และเป็นเอกสิทธิ์เด็ดขาด การที่นายศุภชัย โพธิ์สุ ได้ทำการออกเสียงลงคะแนน จึงเป็นการใช้สิทธิเฉพาะตนในฐานะที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่จากการมีตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง จึงไม่ได้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าว ในการนี้ คณะ กมธ. จึงเห็นควรยุติเรื่องร้องเรียนดังกล่าว
|
|
|
สงวนลิขสิทธิ์โดย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ๑๑๑๑ ถ.สามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐
Call Center ๑๗๔๓ โทรศัพท์ ๐ ๒๒๔๒ ๕๙๐๐ โทรสาร ๐ ๒๒๔๒ ๕๙๙๐
e-Mail : webmaster@parliament.go.th [ คลิกดูแผนที่]
|
|
|
|